สำนักข่าว Irrawaddy รายงานเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 ว่า กองทัพพม่าโจมตีทางอากาศในเขตพื้นที่ชุมชน โรงเรียน โรงพยาบาลและสถานที่ทางศาสนา โดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมของฝ่ายต่อต้านรุนแรงและบ่อยขึ้น เพื่อหวังสร้างแรงกดดันให้ฝ่ายต่อต้านยอมวางอาวุธ โดยสื่อพม่าเก็บข้อมูลพบว่า นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 กองทัพพม่าได้โจมตีทางอากาศมากถึง 58 ครั้ง ทำให้มีประชาชนต้องเสียชีวิตอย่างน้อย 86 คน และได้รับบาดเจ็บมากกว่า 200 คน
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG)พบว่า กองทัพพม่านั้นได้ทิ้งระเบิดโจมตีในเขตชุมชนมากถึง 372 ครั้ง ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม 2568 – 9 พฤษภาคม 2568 โดย มีประชาชนต้องเสียชีวิตมากถึง 334 คน และบาดเจ็บอีก 552 คน และกองทัพพม่ามีเป้าหมายโจมตีเขตชุมชน เช่นโรงเรียนในเขตควบคุมของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ และในพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ ทั้งในรัฐยะไข่ รัฐฉาน รัฐชิน รัฐคะเรนนี รัฐมอญและเขตสะกาย
ทั้งนี้หลังเหตุการโจมตีโรงเรียนในเมืองตี่แปหยิ่น เขตสะกาย ซึ่งทำให้มีเด็กและครูเสียชีวิตรวม 24 คน เมื่อวันที่12 พฤษภาคม 256 หลังจากนั้น 1 วัน กองทัพพม่าได้โจมตีหมู่บ้านตุนยะหว่าย เมืองราทีดอง ในรัฐอาระกัน เขตพื้นที่ควบคุมของกองทัพอาระกัน (Arakan Army – AA) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 ราย รวมทั้งเด็ก และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 20 ราย และในวันเดียวกัน ยังทิ้งระเบิดโจมตีค่ายผู้พลัดถิ่นภายในที่หมู่บ้านละอี่ เมืองเป่โข่ง ทางใต้ของรัฐฉาน
นายเซยะ เจ้าหน้าที่ทหารกองทัพอากาศที่หันหลังให้กับกองทัพพม่าและเข้าร่วมในขบวนการอารยะขัดขืน (CDM) เปิดเผยว่า การที่กองทัพพม่ามุ่งเป้าโจมตีสถานที่ชุมชนเพื่อต้องการให้ฝ่ายต่อต้านหันหน้ามาเจรจาสันติภาพ
“สำหรับฝ่ายต่อต้านกองทัพพม่า การสนับสนุนจากประชาชนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด กองทัพพม่ารู้ดีว่า หากประชาชนเรียกร้องให้พวกเขาหยุดสู้รบกับกองทัพพม่า กลุ่มต่อต้านจะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นคือเหตุผลที่กองทัพพม่าจึงเลือกโจมตีพลเรือน” นายเซยะกล่าว
ขณะที่การโจมตีในรัฐอาระกันนั้น ทางกองทัพอาระกัน AA ระบุว่า การกระทำของกองทัพพม่าเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม และทางกลุ่มจะรวบรวมหลักฐานเพื่อส่งไปยังองค์กรระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ควบคุมของกองกำลังปะหล่อง TNLA (Ta’ang National Liberation Army-TNLA) ในรัฐฉานที่ยังถูกกองทัพพม่าโจมตีอย่างต่อเนื่อง หลังทั้งสองฝ่ายเจรจาล้มเหลว
ภาพจ Irrawaddy
แหล่งที่มา :https://transbordernews.in.th/home/?p=42592